NaMieaMuroFinalSpace.com

วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ธุรกิจและการสื่อสาร

Customer Journey

การทำ Customer Journey คืออะไร และช่วยเรียนรู้ลูกค้าได้อย่างไ

ทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งคือหัวใจสำคัญของทุกธุรกิจ และเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจนก็คือ “Customer Journey Map” หรือ “แผนที่การเดินทางของลูกค้า” การสร้างแผนที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำเอกสาร แต่คือกระบวนการที่ช่วยให้ธุรกิจเรียนรู้ลูกค้าในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ก่อนจะรู้จักแบรนด์ ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อและการกลับมาใช้บริการซ้ำ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกว่า Customer Journey คืออะไร และช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้อย่างไรบ้าง

Customer Journey คืออะไร?

Customer Journey หรือ “การเดินทางของลูกค้า” คือเส้นทางที่ลูกค้าใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่พวกเขามีความต้องการหรือเริ่มรู้จักแบรนด์ ไปจนถึงจุดสิ้นสุดที่พวกเขาตัดสินใจซื้อและกลายเป็นลูกค้าประจำ การทำแผนที่การเดินทางนี้คือการจำลองขั้นตอนทั้งหมดของลูกค้าออกมาเป็นภาพเพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจน

โดยทั่วไปแล้ว Customer Journey จะแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนหลัก

  1. Awareness (การรับรู้) ลูกค้าเริ่มตระหนักถึงปัญหาหรือความต้องการ และเริ่มรู้จักแบรนด์ของคุณเป็นครั้งแรกผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การค้นหาบน Google, โซเชียลมีเดีย, หรือคำแนะนำจากเพื่อน
  2. Consideration (การพิจารณา) ลูกค้าเริ่มมองหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบแบรนด์ของคุณกับคู่แข่ง เช่น การอ่านรีวิวสินค้า, การเยี่ยมชมเว็บไซต์, หรือการสอบถามข้อมูล
  3. Purchase (การตัดสินใจซื้อ) ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ และเข้าสู่กระบวนการชำระเงิน
  4. Retention (การรักษาลูกค้า) ลูกค้าเริ่มใช้สินค้าหรือบริการของคุณ และแบรนด์จะเริ่มสร้างความสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ
  5. Advocacy (การบอกต่อ) ลูกค้ากลายเป็นลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ และพร้อมที่จะบอกต่อประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้อื่น

การทำ Customer Journey ช่วยให้เรียนรู้ลูกค้าได้อย่างไร?

การทำแผนที่ Customer Journey ไม่ใช่แค่การเขียนขั้นตอนลงไป แต่คือการสวมบทบาทเป็นลูกค้าจริง ๆ เพื่อให้เข้าใจมุมมองและความรู้สึกของพวกเขาในทุก ๆ ขั้นตอน ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้ธุรกิจเรียนรู้ลูกค้าในมิติต่าง ๆ ดังนี้

1. รู้จักลูกค้าในเชิงลึก

การทำแผนที่การเดินทางจะบังคับให้คุณต้องคิดถึงคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับลูกค้า เช่น “พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่?”, “ความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างไรในแต่ละขั้นตอน?”, หรือ “อุปสรรคที่พวกเขาเจอคืออะไร?” การตอบคำถามเหล่านี้อย่างละเอียดจะช่วยให้คุณได้ข้อมูลเชิงลึกที่มากกว่าแค่สถิติยอดขาย

ตัวอย่าง: ในขั้นตอน Consideration คุณอาจพบว่าลูกค้ามีความรู้สึก “สับสน” และ “กังวล” เพราะเว็บไซต์ของคุณมีข้อมูลสินค้าที่ไม่ชัดเจนหรือไม่สามารถหาข้อมูลเปรียบเทียบได้ง่าย ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าต้องกลับไปปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

2. ค้นหา Pain Points (ปัญหา) ของลูกค้า

Customer Journey ช่วยให้คุณสามารถระบุ Pain Points หรือจุดที่สร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าได้อย่างชัดเจน ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยที่คุณมองข้ามไป เช่น หน้าเว็บไซต์ที่โหลดช้า, ขั้นตอนการชำระเงินที่ยุ่งยาก, หรือการบริการหลังการขายที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

ตัวอย่าง: หากคุณพบว่าในขั้นตอน Purchase ลูกค้าจำนวนมากทิ้งตะกร้าสินค้าไปกลางคัน คุณจะรู้ทันทีว่ามีปัญหาในขั้นตอนการชำระเงิน อาจเป็นเพราะตัวเลือกการชำระเงินที่ไม่หลากหลาย หรือค่าจัดส่งที่แพงเกินไป

3. สร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการเข้าถึงลูกค้า

เมื่อคุณเห็นภาพรวมของการเดินทางทั้งหมด คุณจะสามารถค้นหาช่องว่างหรือโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้มากขึ้น เช่น การส่งอีเมลแจ้งเตือนเมื่อลูกค้าทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้า หรือการส่งข้อความขอบคุณและขอความคิดเห็นหลังการซื้อเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว

4. พัฒนาการบริการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การทำ Customer Journey ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นการทบทวนและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อคุณมีการเปลี่ยนแปลงสินค้าหรือบริการ คุณก็ควรกลับมาอัปเดตแผนที่การเดินทางนี้ใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าการบริการของคุณยังคงตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุก ๆ จุด

ตัวอย่าง: หลังจากที่คุณเพิ่มช่องทางการชำระเงินใหม่ คุณสามารถติดตามผลได้ว่าขั้นตอน Purchase ของลูกค้าดีขึ้นหรือไม่ และนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาการบริการให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

การทำ Customer Journey เป็นมากกว่าแค่เครื่องมือทางการตลาด แต่เป็นหัวใจของการสร้างธุรกิจที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง เพราะมันช่วยให้คุณมองเห็นโลกจากมุมมองของลูกค้า เข้าใจปัญหา และสร้างสรรค์โซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่ความภักดีของลูกค้าและการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน