ความฝันของใครหลายคนคือ “มีบ้านเป็นของตัวเอง” แต่พอพูดถึงเรื่อง “กู้บ้าน” คนที่เป็นฟรีแลนซ์หรือไม่มีสลิปเงินเดือนมักจะรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก ธนาคารจะยอมให้กู้ไหม รายได้ไม่แน่นอนจะทำยังไง หรือเอกสารต้องใช้เยอะแค่ไหน
จริง ๆ แล้วคำตอบคือ “กู้ได้” เพียงแต่อาจต้องใช้วิธีคิดและการวางแผนต่างจากมนุษย์เงินเดือนเล็กน้อย บทความนี้จะพาไปดูแนวทางและเทคนิคกู้บ้านอย่างชาญฉลาดสำหรับคนที่ไม่มีสลิปเงินเดือน แต่มีรายได้จริง และพร้อมสร้างเครดิตทางการเงินให้ธนาคารเชื่อถือ

ทำไมธนาคารถึงเข้มงวดกับกลุ่มฟรีแลนซ์
ก่อนอื่นต้องเข้าใจมุมมองของธนาคารก่อนว่า พวกเขาไม่ได้มองว่า “ฟรีแลนซ์กู้ไม่ได้” แต่สิ่งที่ธนาคารกังวลคือ “รายได้ไม่สม่ำเสมอ” ซึ่งทำให้การประเมินความสามารถในการผ่อนชำระทำได้ยาก
ธนาคารต้องมั่นใจว่าผู้กู้สามารถผ่อนชำระได้ต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้นเอกสารยืนยันรายได้จึงสำคัญมาก สำหรับมนุษย์เงินเดือนมีสลิปเงินเดือนและหนังสือรับรองรายได้อยู่แล้ว แต่สำหรับฟรีแลนซ์ต้องใช้เอกสารอื่นแทน เช่น รายการเดินบัญชี (Statement) หรือหลักฐานการรับงาน
พูดง่าย ๆ คือ ธนาคารไม่ได้ปิดประตูให้คนไม่มีสลิปเงินเดือน แต่ต้อง “พิสูจน์ให้เห็น” ว่ามีรายได้จริงและต่อเนื่อง
1. เริ่มจากสร้างเครดิตทางการเงินก่อนกู้
สิ่งแรกที่ธนาคารดูไม่ใช่แค่รายได้ แต่คือ “ประวัติการเงิน” ว่าคุณมีวินัยทางการเงินมากแค่ไหน ลองเช็กตัวเองก่อนว่ามีหนี้เสีย (NPL) หรือไม่ เคยค้างจ่ายบัตรเครดิตหรือสินเชื่อใด ๆ ไหม เพราะข้อมูลพวกนี้อยู่ในเครดิตบูโรทั้งหมด
หากไม่มีประวัติทางการเงินเลย แนะนำให้เริ่มสร้างเครดิตเล็ก ๆ เช่น
- สมัครบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่มีวงเงินสะสม
- ซื้อของผ่อนแบบมีวินัย เช่น โทรศัพท์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า และจ่ายตรงเวลา
- เปิดบัญชีออมทรัพย์และหมุนเงินผ่านบัญชีหลักอย่างต่อเนื่อง
เพราะเวลาธนาคารตรวจเครดิต ประวัติการจ่ายเงินตรงเวลาจะช่วยเพิ่ม “คะแนนความน่าเชื่อถือ” ได้มาก
2. แยกบัญชีรายได้ส่วนตัวกับบัญชีรายจ่ายธุรกิจ
ฟรีแลนซ์จำนวนมากใช้บัญชีเดียวกันทั้งรับเงินลูกค้าและใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งทำให้ธนาคารประเมินรายได้จริงได้ยาก สิ่งที่ควรทำคือ เปิดบัญชีแยกต่างหากสำหรับรายได้จากงานโดยเฉพาะ เพื่อให้เห็นยอดเงินเข้าอย่างต่อเนื่อง
เช่น หากคุณรับงานออกแบบ เว็บไซต์ หรือขายของออนไลน์ ควรให้ลูกค้าโอนเข้าบัญชีเดียวกันทุกครั้ง ไม่ใช่กระจายหลายบัญชี เมื่อเวลาผ่านไป 6–12 เดือน จะมีหลักฐานชัดเจนว่าคุณมีรายได้จริงและสม่ำเสมอ
ธนาคารส่วนใหญ่ใช้ “รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือนถึง 1 ปี” เป็นหลักฐานสำคัญ ดังนั้นการจัดการบัญชีให้เป็นระบบคือก้าวแรกของการกู้บ้านอย่างมืออาชีพ
3. มีใบกำกับภาษีหรือรายงานภาษีรายปีช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
แม้คุณจะเป็นฟรีแลนซ์ แต่ถ้ามีการยื่นภาษีถูกต้องทุกปี เช่น ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.94 จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มหาศาล เพราะเอกสารภาษีคือหลักฐานยืนยันรายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และธนาคารให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก
หากคุณยังไม่เคยยื่นภาษีเลย ควรเริ่มทำทันที เพราะนอกจากจะช่วยให้กู้บ้านง่ายขึ้น ยังสะท้อนภาพลักษณ์ของคนที่มีวินัยทางการเงิน
ธนาคารมักดู “รายได้เฉลี่ยต่อปี” จากเอกสารภาษีประกอบกับรายการเดินบัญชี เพื่อประเมินวงเงินที่เหมาะสมกับคุณ
4. จัดเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนยื่นกู้
สำหรับฟรีแลนซ์ที่ไม่มีสลิปเงินเดือน เอกสารที่ช่วยเพิ่มน้ำหนักในการอนุมัติ ได้แก่
- สำเนาบัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน
- รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6–12 เดือน
- สำเนาแบบแสดงภาษี (ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.94)
- สัญญารับงาน หรือใบเสร็จรับเงินจากลูกค้า
- หลักฐานการเป็นเจ้าของธุรกิจ (ถ้ามี เช่น ร้านค้าออนไลน์ เว็บไซต์ หรือเพจ)
- สลิปผ่อนชำระสินเชื่อเดิม (ถ้ามี) เพื่อแสดงความสม่ำเสมอในการจ่าย
เอกสารเหล่านี้ช่วยให้ธนาคารเห็นภาพรายได้จริงของคุณชัดเจนขึ้น และช่วยลดความกังวลเรื่อง “รายได้ไม่แน่นอน”
5. มีเงินเก็บและสำรองไว้บางส่วน
แม้คุณจะกู้ได้ แต่ธนาคารส่วนใหญ่ไม่ให้เต็ม 100% ของมูลค่าบ้าน โดยทั่วไปจะปล่อยประมาณ 80–90% ดังนั้นการมีเงินเก็บสักส่วนหนึ่งไว้ใช้เป็นเงินดาวน์ (เช่น 10–20%) จะช่วยเพิ่มโอกาสผ่านอนุมัติได้มาก
นอกจากนี้ การมีบัญชีเงินเก็บที่หมุนเวียนต่อเนื่องยังช่วยให้ธนาคารมั่นใจว่าคุณมี “สภาพคล่อง” พอที่จะรับผิดชอบค่างวดระยะยาวได้
แนะนำให้แสดงบัญชีเงินเก็บไว้ในธนาคารเดียวกับที่ยื่นกู้ เพราะเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบง่ายและเชื่อถือได้มากกว่า

6. เลือกธนาคารที่เข้าใจกลุ่มอาชีพอิสระ
ทุกธนาคารมีเกณฑ์อนุมัติแตกต่างกัน บางแห่งเข้มงวดกับคนไม่มีสลิป แต่บางแห่งมีโปรแกรมเฉพาะสำหรับฟรีแลนซ์ เช่น
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) – มีสินเชื่อ “เพื่อผู้มีอาชีพอิสระ” โดยใช้รายได้เฉลี่ยจากบัญชีธนาคาร
- ธนาคารกรุงไทย – มีสินเชื่อบ้านสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดยใช้เอกสารทางภาษีแทนสลิปเงินเดือน
- ธนาคารกสิกรไทย – ให้พิจารณารายได้จากหลายช่องทาง เช่น รายได้ออนไลน์หรือค่าจ้างประจำ
การเลือกธนาคารที่เข้าใจลักษณะอาชีพคุณ จะช่วยให้ขั้นตอนการยื่นกู้ราบรื่นขึ้นมาก
7. เพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยผู้กู้ร่วม
หากรายได้ยังไม่มั่นคงพอ คุณสามารถ “เพิ่มผู้กู้ร่วม” เพื่อให้ธนาคารเห็นภาพรายได้รวมที่มั่นคงมากขึ้น ผู้กู้ร่วมอาจเป็นพ่อแม่ คู่สมรส หรือพี่น้องที่มีรายได้ประจำ
อย่างไรก็ตาม ผู้กู้ร่วมจะต้องรับผิดชอบหนี้ร่วมกัน ดังนั้นควรคุยและตกลงกันให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มวงเงินกู้และลดอัตราดอกเบี้ยในบางกรณี เพราะความเสี่ยงของธนาคารลดลง
8. รักษายอดรายได้ให้คงที่อย่างน้อย 6 เดือนก่อนยื่นกู้
ธนาคารจะดูแนวโน้มรายได้ย้อนหลัง ไม่ใช่แค่เดือนล่าสุด ถ้าช่วงก่อนยื่นกู้มียอดเข้า–ออกไม่สม่ำเสมอ อาจถูกมองว่า “เสี่ยง” ดังนั้นก่อนยื่นกู้ ควรทำให้รายได้เข้าบัญชีอย่างต่อเนื่องทุกเดือน เช่น
- กระจายงานให้มีรายได้ประจำแทนงานชิ้นใหญ่ครั้งเดียว
- ให้ลูกค้าโอนผ่านบัญชีแทนเงินสด
- หลีกเลี่ยงการถอนเงินก้อนใหญ่บ่อย ๆ
รายได้ที่สม่ำเสมอและการจัดการบัญชีที่เป็นระบบคือสิ่งที่ธนาคารมองหา
9. อย่าลืมเรื่องภาระหนี้อื่น ๆ
แม้คุณมีรายได้ดี แต่ถ้าภาระหนี้สูงเกินไป ธนาคารก็อาจปฏิเสธได้ เกณฑ์ทั่วไปคือ ภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio – DSR) ไม่ควรเกิน 40–50%
เช่น ถ้ามีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 40,000 บาท ค่างวดผ่อนบ้านที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 20,000 บาท หากมีหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่ออื่น ควรปิดบางส่วนก่อนยื่นกู้ เพื่อเพิ่มคะแนนความสามารถในการชำระหนี้
10. อย่ารีบเลือกธนาคารแรกที่อนุมัติ
หลายคนดีใจเมื่อมีธนาคารหนึ่งตอบรับ แต่จริง ๆ แล้วแต่ละแห่งมีเงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยต่างกัน ควรเปรียบเทียบอย่างน้อย 3–4 แห่ง โดยดูจาก
- ดอกเบี้ยปีแรก–ปีที่ 3
- ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ (ประเมิน, จดจำนอง, ประกันชีวิต)
- เงื่อนไขการรีไฟแนนซ์
บางธนาคารมีโปรแกรมเฉพาะช่วงเวลา เช่น ดอกเบี้ยพิเศษสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือฟรีค่าธรรมเนียมบางรายการ
การเปรียบเทียบละเอียดก่อนตัดสินใจ จะช่วยให้คุณได้สินเชื่อที่คุ้มค่าที่สุดโดยไม่เพิ่มภาระในอนาคต
การกู้บ้านสำหรับคนไม่มีสลิปเงินเดือนไม่ได้ยากอย่างที่คิด สิ่งสำคัญคือ “การเตรียมตัวล่วงหน้า” และ “การพิสูจน์รายได้อย่างเป็นระบบ”
เริ่มจาก
- จัดการบัญชีให้โปร่งใส
- ยื่นภาษีอย่างถูกต้อง
- เก็บหลักฐานรายได้ต่อเนื่อง
- รักษาประวัติการเงินให้ดี
ทั้งหมดนี้คือการสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาธนาคาร ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่บ้านในฝัน
เพราะสุดท้ายแล้ว การเป็นฟรีแลนซ์ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีความมั่นคงทางการเงิน แค่ต้อง “บริหารรายได้ให้เป็นระบบ” เท่านั้นเอง